15.Hockey Player

15.Hockey Player

นักฮอกกี้น้ำแข็งนี้เป็นตัวที่มี Accessory ให้มาเยอะสุดในรุ่นนี้มีทั้งไม้ทั้งเกราะทั้งหมวกและแถมรองเท้าสเก็ตอีกด้วย
ในส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวนี้เป็นตัวที่ทำมาได้ดีที่สุดในรุ่นนี้เนื่องจากมีความสมจริงและดูสวยงามมาก

ให้คะแนนไป 10/10




ฮอกกี้ น้ำแข็ง หรือ ไอซ์ฮอกกี้ (อังกฤษ: Ice hockey) เป็นกีฬาประเภททีมที่เล่นบนพื้นน้ำแข็ง ที่ใช้ความเร็วและกำลังในการเล่น ฮอกกี้น้ำแข็งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในแทบที่มีความหนาวเย็นตาม ธรรมชาติ ที่มีน้ำแข็งเกาะอย่างเช่น ประเทศแคนาดา อเมริกาเหนือ แถบสแกนดิเนเวียและรัสเซีย ต่อมาสามารถเล่นภายในอาคารจากลานเล่นสเก็ตน้ำแข็งเทียมได้ และยังเป็นกีฬาของนักกีฬาสมัครเล่นในเมืองใหญ่อย่าง เมืองที่เป็นเจ้าภาพจัด National Hockey League (NHL) หรือเป็นกีฬาอาชีพของลีกอาชีพ มีลีกใหญ่ สำคัญ 4 ลีกคือ North American professional sports, และ NHL ที่เป็นระดับสูงสุด และ Canadian Women’s Hockey League (CWHL) และ Western Women’s Hockey League (WWHL) ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดของฮอกกี้น้ำแข็งสตรี นอกจานี้ยังเป็นกีฬาฤดูหนาวอย่างเป็นทางการของแคนาดา

มี สมาชิก 66 ประเทศที่เป็นสมาชิกกับ International Ice Hockey Federation (IIHF) แต่ประเทศอย่าง แคนาดา ,สาธารณรัฐเชค, ฟินแลนด์, รัสเซีย, สโลวาเกีย, สวีเดน และสหรัฐอเมริกา ที่ได้ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ในการแข่ง IIHF World Championships มากที่สุด และจากแข่งขันโอลิมปิก 63 เหรียญประเภทผู้ชาย ตั้งแต่ปี 1920 มีเพียง 6 ครั้งเท่านั้นที่ประเทศที่ได้รับเหรียญไม่ใช่ประเทศดังกล่าว และหากไม่นับอดีตประเทศอย่าง เชโกสโลวาเกียหรือสหภาพโซเวียตแล้ว มีเพียง 1 เหรียญจาก 6 ครั้งที่ได้เหนือเหรียญทองแดง



“ฮอกกี้ น้ำแข็ง”  คงมีไม่น้อยคนเลยทีเดียวที่จะไม่รู้จักกีฬาชนิดนี้ เพียงแต่ทว่า ชาวไทยอย่างเราๆ อาจจะไม่ถึงขนาดที่จะคุ้นเคยสักเท่าไหร่ หรือยกให้เป็นกีฬายอดฮิต เทียบชั้น  ฟุตบอล มวย  บาส แบดมินตัน เทนนิส กอล์ฟ  ฯลฯ เนื่องจาก  ฮอกกี้น้ำแข็ง  หรือการเล่นตีลูกพัค (PUCK) บนพื้นน้ำแข็ง นั้นเป็นกีฬาที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบเมืองหนาว อย่างทวีปยุโรป อเมริกา  ซึ่งเขานิยมเล่นกันมาเป็นเวลานับร้อยปีแล้ว



ฮอกกี้ น้ำแข็ง  มีลักษณะการเล่นคล้ายฟุตบอล ผสมไอซ์เสก็ต เนื่องจากผู้เล่นต้องทรงตัวบนลานน้ำแข็งขนาด 30 x 60 เมตร  โซนกลางสนามถูกแบ่งด้วยเส้นสีแดง ส่วนโซนหัวทท้ายจะมีเส้นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นเส้นบอกพื้นที่ ของแต่ละฝ่าย  ถัดจากนั้นก็จะเป็นประตู หรือโกลด์ตั้งอยู่  กติกาผู้เล่นต้องใช้ ไม้ตี ลักษณะคล้ายไม้กอล์ฟ (แต่ทำด้วยไฟเบอร์กลาส หรือโลหะ) บังคับ รับและส่ง ลูกพัค (ลักษณะ กลมแบน สีดำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 ซม. หนา 1.5 ซม. ) ฝ่าด่านคู่แข่งเพื่อทำประตูให้ได้มากที่สุดถึงจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นจึงมี ความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เล่นจะต้องใช้ทักษะ ความสามารถหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นความคล่องแคล่วว่องไว ในการเคลื่อนตัวเพื่อรับ ส่ง และพาลูกพัคไปในทิศทางที่กำหนด





การ แข่งขันในสนามฮฮกกี้น้ำแข็ง จะแบ่งออกเป็น 4  Line  หรือข้าง  ซึ่งในแต่ละ  Line จะมีผู้เล่น  6 คน   (ประตู 1 คน ผู้เล่น 5 คน)  แข่งกัน 3 ช่วง ช่วงละ 20 นาที (พักประมาณ 20 นาที) กติกาการเล่นคล้ายๆ ฟุตบอล  เช่น มีล้ำหน้า แต่ไม่มีลูกออก เนื่องจากทั้ง 4 ด้านของสนามมีกำแพงกั้น ฉะนั้นผู้เล่นสามารถเลี้ยงลูกไปด้านหลังประตู ตีลูกให้ชนขอบ กันลานสเก็ตได้





“ฮอกกี้ น้ำแข็ง” เป็นกีฬาที่ใช้กรรมการตัดสิน มากพอดู  รวม 8 คนเป็นอย่างน้อย แบ่งเป็น กรรมการกำกับเส้น 2 คน (Lineman) ผู้กำกับประตู 2 คน (Goal Judges) ผู้กำกับเวลาโทษ (Penalty Timekeeper) ผู้จดบันทึกการแข่งขัน (Offieial Score) และผู้บันทึกเวลา (Game Timekeeper)






แถมๆรูปน่ารักๆ















14.The Monster

14.The Monster

และแล้วลุงแฟงเกนสไตน์ก็ออกมาตามความคาดหมายของหลายๆท่านและหลายคนคงรอกันอยู่แต่ลุงแกไม่มี Accessory มาเลย
นอกจากทรงผม

ให้คะแนนไป 6.5/10



แฟรง เกนสไตน์ (Frankenstein; หรืออีกชื่อหนึ่ง The Modern Prometheus) เป็นนวนิยายยอดนิยมเรื่องหนึ่ง เขียนโดย แมรี เชลลีย์ จัดพิมพ์ครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2360 (ค.ศ. 1818) (แต่เริ่มนิยมอ่านกันมากในฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2374) โดยในเรื่อง มีส่วนผสมของนิยายสยองขวัญ และ ความรัก

เนื้อ เรื่องของแฟรงเกนสไตน์มีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ได้ไปศึกษาที่เยอรมนี เขาสนใจในเรื่องการใช้ไฟฟ้ากับร่างกายของมนุษย์ จึงนำชิ้นส่วนจากศพหลายๆ ศพ มาเย็บเข้าด้วยกันและช็อตด้วยไฟฟ้า ทำให้ซากศพนั้นมีชีวิตขึ้นมา เป็นอสุรกายที่มีร่างกายใหญ่โต แต่เมื่ออสุรกายนั้นมีชีวิต วิคเตอร์ก็เกิดกลัวอสุรกายนั้นขึ้นมา จึงได้หนีไปและทิ้งให้อสุรกายตนนั้นมีชีวิตอย่างเดียวดาย โดยไม่ยอมรับมัน อสุรกายจึงขอร้องให้วิคเตอร์สร้างอสุรกายแบบมันขึ้นมาอีก 1 ตน แต่วิคเตอร์ก็ไม่ยอม มันจึงเริ่มฆ่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิคเตอร์เพื่อให้วิคเตอร์รับ รู้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวบ้าง จนวิคเตอร์เสียชีวิต อสุรกายก็เสียใจมาก และกระโดดน้ำตายตามวิคเตอร์ไป

แค่ ฟังชื่อหลายคนอาจจะรู้สึกสังสัยว่า แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstein) เป็นผีดิบผู้เดียวดายจริงหรือ? น่าจะเป็นผีดิบผู้โหดร้ายหรือผู้ดุร้ายมากกว่าเพราะพฤติกรรมอันแปลกประหลาด และพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับผีดิบแฟรงเกนสไตน์ กลับกลายมาเป็นตำนานเล่าขานกันอย่างแพร่หลาย

จริง ๆ แล้วนั้นผีดิบผู้น่าสงสารตัวนี้ไม่ได้มีชื่อว่า แฟรงเกนสไตน์ แต่อย่างใดชื่อที่เรียกกันมานานนี้เป็นชื่อที่ถูกตั้งตามผู้ที่สร้างมันขึ้น มา เรื่องราวโกลหลและวุ่นวายดังกล่าวนี้เกิดขึ้นที่กรุงเจนีวา เมื่อราว 200ปีก่อน เจ้าของเรื่องราวอันพิลึกพิลั่นดังกล่าวนี้มานามว่า นายวิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ (Victor Frankenstein) เขาเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย ทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความสุขสบาย เรียกว่า ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก ก็ได้ทั้งนั้น ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปในพริบตา ในชีวิตของเขาจึงไม่มีอะไรที่ชวนท้าทายความคิดหรือความสามารถของเขาเลย เพราะหากต้องการอะไรก็จะมีคนคอยหาให้อยู่เสมอ
จน กระทั่งเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม และมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย อินโกลด์สตัดต์ (Ingoldstadt university) วิคเตอร์มีโอกาสไดพบกับ เฮนรี่ เคลวอล (Henri Clerval) เพื่อนผู้หักเหชีวิตของเขาให้เปลี่ยนแปลงไป เฮนรี่ได้ชักจูง วิคเตอร์ ให้หันเหความสนใจมาสู่เรื่องราวเหนือธรรมชาติ ทั้งสองต้องการที่จะไขปริศนาลับเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ความเร้นลับที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถที่จะไขความลับดังกล่าวได้ พวกเขามีความปรารถนาว่า สักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งให้ได้
ด้วย แรงจูงใจและความใคร่รู้ทำให้ วิคเตอร์ และเฮนรี่ ตกลงใจที่จะทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าวด้วยตนเอง พวกเขาเริ่มต้นด้วยการรวบรวมศพของผู้ตายเอาไว้เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็คัดเลือกเอาอวัยวะที่สวยที่สุดของศพแต่ละศพมาเย็บเข้าไว้ด้วย กัน เพื่อให้ชีวิตใหม่ที่เขาเนมิตขึ้นมา เป็นชีวิตใหม่ที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด เพราะอวัยวะทุกชิ้นถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี

ภายหลังจากได้เย็บ อวัยวะทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกัน จนกระทั่งมีรูปร่างสมบูรณ์แบบเหมือนมนุษย์ทุกประการ พวกเขาก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษบางอย่างทำให้มนุษย์ทดลองของเขาสามารถฟื้นฟูคืน ชีพขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ผลงานชิ้นนี้กลับไปได้สร้างความยินดีปรีดาให้แก วิคเตอร์ และเฮนรี่ เลย
มนุษย์ จำลองค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้า ๆ แต่อนิจจา ผิวพรรณที่เหลือซีดของมัน ทำให้มันกลายเป็นซากศพเดินได้ที่มีสภาพน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งร่างกายที่ ปราศจากเลือดฝาด ทำให้ปลายเล็บซีดคล้ำ ดวงตาที่ลึกโบ๋ยิ่งเสริมให้ใบหน้าของมันน่ากลัวมากยิ่งขึ้น มันพยายามที่จะยิ่มให้แก่ วิคเตอร์ และเฮนรี่ แต่ทั้งคู่กลับรู้สึกว่ามันกำลังแสยะยิ้มให้แก่เขา ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจของเขาทั้งสอง

ทั้ง คู่ต่างวิ่งเตลิดออกจากห้องลับที่ที่ใช้เป็นสถานที่ในการศึกษาทดลองในครั้ง นี้ทั้งคู่วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต และไม่รู้ว่าตนเองจะทำอย่างไรกับมนุษย์จำลองนี้ดี จะทำลายก็เสียดาย แต่จะเก็บเอาไว้ก็ดูน่าเกลียดน่ากลัว พวกเขาตัดสินใจอยู่นานกว่าที่จะกลับเข้ามาในห้องลับอีกครั้ง แต่สิ่งประดิษฐ์อันแสนพิลึกของพวกเขาไม่รู้ว่ามันไปแอบอยู่ที่ใด หากยังอยู่ ในสายตาของพวกเขา เขาก็ยังทราบว่ามันทำอะไรบ้าง แต่นี่ก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แต่อีกใจหนึ่งพวกเขารู้สึกใจที่มันหายไปได้ เพราะมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกินหลังจากนั้นไม่นานนัก วิคเตอร์ ก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อวิลเลี่ยม แฟรงเกนสไตน์ (William Frankenstein) น้องชายของเขาถูกฆ่าด้วยการบีบคอจนตายผู้คนต่างกล่าวโทษ จัสติน มอริทซ์ (Justine Morite) พี่เลี้ยงที่อยู่ใกกล้ชิด วิลเลี่ยมมากที่สุด จัสติน กลายเป็นนักโทษที่ต้องตรับความผิดที่ตนเองไม่ได้กระทำเพราะไม่มีหลักฐานใดมา ยืนยันได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่วิคเตอร์ รู้ว่าคนที่สังหารน้องชายของเขานั้นไม่ใช่คนอื่นเลย มันต้องเป็นเจ้าชายซากศพเดินได้ตัวนั้นอย่างแน่นอน มันคงจะโกรธแค้นที่เขาสร้างมันขึ้นมาและไม่ได้ดูดำดูดีมัน มันจึงกลับมาลงโทษเขา

1 ปีผ่านไป วิคเตอร์ ไม่เคยไดยินข่าวคราวเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ของเขาภายหลังจากที่วิลเลี่ยมตาย แต่แล้ววันหนึ่ง ในขณะที่เขาไปพักผ่อนแถวเชิงเขา มองท์ บลังค์ (Mont Blanc) มันก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ วิคเตอร์ ไม่ได้หนีไปไหน เขาพยายามตั้งสติพูดคุยกับมัน เพื่อให้รู้ถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของมันภายใน 1 ปี หลังจากที่เขาได้ชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เจ้า ผีดิบได้เล่าให้นายผู้ให้กำเนิดมันฟังว่าภายหลังจากที่ วิคเตอร์ และเพื่อนได้วิ่งหนีมันออกไปแล้วนั้น มันก็ได้เดินโซซัดโซเซออกมาข้างนอก แต่เดินไปทางใดผู้คนก็แตกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งมันก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดทุกคนจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับมัน แม้ว่ามันจะช่วยชีวิตเด็กน้อยผู้หนึ่งเอาไว้จากการจมน้ำ แต่อดทนที่จะไดรับคำขอบคุณเป็นการตอบแทน พ่อของเด็กผู้นั้นกับยิงปืนขับไล่มัน เพราะกลับว่ามันจะไปทำอันตรายต่อลูกของเขาก็ นับว่าเป็นความช่วยของเจ้าผีดิบที่มีหน้าตาแปลกประหลาดจากคนธรรมดา ทำให้ผู้คนหวาดกลัวโดยที่มันก็ไม่รู้เลยว่า ตนเองนั้นมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้น ภายหลังจากถูกยิงขับไล่ มันก็ไดหนีกระเชอะกระเชิงไปจนกระทั่งไปเจิกับเด็น้อยผู้หนึค่งที่มีหน้าตา น่ารัก มันรู้สึกว่าอยากจะกอดแสดงความรักใคร่ต่อเด็กคนนั้น แต่ เนื่องจากการควบคุมแรงของมือยังไม่ดีพอ ทำให้แรงกดของมันกลายเป็นแรงบีบรัด ส่งผลให้หนูน้อยที่น่ารักคนนั้สิ้นใจตายและเป็นที่มาของการสิ้นชีวิตของ วิลเลี่ยม น้อยชายของวิคเตอร์นั่นเอง

จะ ว่าไปแล้วก็ค่อนข้างเป็นผีดิบที่น่าสงสารเอาการ เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ที่เลือกจะมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่กลับมีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใบหน้าที่น่าเกลียดน่า กลัว ผิวหนังที่เหี่ยวย่น ประกอบกับร่างกายที่สูงใหญ่ผิดมนุษย์มนา ก็ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่พบเห็น ความหวาดกลัวของผู้คนทำให้มันต้องมีชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครต้องการพบเจอหรือคบค้าสมาคมด้วย
เจ้า ผีดิบได้เล่าชีวิตความเป็นอยู่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมาให้แก่ วิคเตอร์ นายของมันหลักจากนั้นมันก็ได้ขอร้องให้ วิคเตอร์ สร้างเพื่อนหญิงให้ในอีกสักตัว แล้วมันจะพาคู่รักของมันไปอาศัยอยุ่ในป่าทึบที่ไม่มีใครสามรถขเาไปได้มันให้ สัญญากับนายมันว่า จะไม่มีใครได้เห็นหน้าของมันอีก ขอแค่เพื่อให้มีสักคน

หลัง จาาที่วิคเตอร์ ฟังเรื่องราวอันยืดยาวของมันจนจบ เขาก็ตัดสินใจตกลงที่จะกระทำตามคำของของมัน เพราะเรื่องวุ่นๆ ทั้งหลายจะได้จบสิ้นเสียทีอีกทั้งสงสารที่มันต้องอาศัยอยู่อย่างโดเดี่ยว วิคเตอร์ และเฮนรี่ จึงได้กลับไปรวบรวมซากศพของผู้ที่เสียชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่การทดลองในครั้งที่สองดำเนินไปได้ไม่ถึงไหน ทั้งสองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? เพราะเข้าอาจจะสร้างครอบครัวผีดิบขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจจะสร้างปัญหาให้มากขึ้น อดทนที่จะแก้ไขปัญหาให้เสร็จลุล่วงไปได้ พวกเขาจึงหยุดสร้างผีดิบตัวที่สอง
การ หยุดทำงายของ วิคเตอร์ และ เฮนรี่ อย่างกะทันหัน ทำให้เจ้าผีดิบรู้สึกงุนงงมาก มันจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้นายของมันสร้างคู่รักแสนสวยให้เสร็จ แต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล พวกเขาไม่ยอมที่จะทำงานต่อ ทำให้ผีดิบรู้สึกโกรธแค้นมากที่คำขอร้องของมันไม่เป็นผล มันจึงได้กล่าวอาฆาตแค้นเขาเอาไว้ว่า เมื่อใดที่เขาแต่งงาน มันจะกลับมาหาเขาอีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นมันก็หลบหนีไป

วิคเตอร์ และ เฮนรี่ ได้ย้ายหนีเจ้าผีดิบไปที่ไอร์แลนด์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหนีมันพ้น เฮนรี่ เป็นผู้เคราะห์ร้ายคนแรก เขาถูกเจ้าผีดิบสังหารจนกระทั่งเสียชีวิต เจ้าผีดิบได้ให้บทเรียนบทแรกแก่ วิคเตอร์ เพราะเมื่อมันต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว นายของมันก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน แต่การแก้แค้นของมันก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก เพราะหลังจากที่ทนความเหงาไม่ไหว วิคเตอร์ ก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหญิงคนรัก
ใน คืนวันแต่งงานที่ควรจะเป็นคืนแห่งความสุขในชีวิตของ วิคเตอร์ เขากลับพบกับความทุกข์ทรมานในอย่างที่สุด เมื่อเจ้าสาวสุดที่รักของเขาถูกเจ้าผีดิบสังหารจนเสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง เจ้าผีดิบได้จองล้างจองผลาญ วิคเตอร์ ตามที่มันลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ เรียกว่ากงกรรมกงเกวียนก็คงจะไม่ผิดเทาใดนักเพราะเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วไม่ดุ แลรับผิดชอบให้ดี มันก็ย่อมก่อปัญหาตามมาอย่างไม่รู้จักจบรู้จักสิ้น
ความ ทุกข์และความหวาดกลัวเริ่มโถมเข้าสู่จิตใจของ วิคเตอร์ เขาพยายามที่จะหลบหนีเจ้าอสูรกายทุกวิถีทาง แต่ยิ่งหนีก็เหมือนกับว่ามันก็ยิ่งตามเหมือนตัวเราและเงาที่ต้องติดกันไป ตลอดเวลา ซึ่งในตอนนี้ วิคเตอร์ รู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก เหตุใดเจ้าผีร้ายมันจึงไม่หนีไปที่อื่น ทำไมต้องตามมาจองล้างจองผลาญเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด มันก็ตามเขาไปถูกทั้งสิ้นเขาคิดใครครวญอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี

จน กระทั่งวันหนึ่ง วิคเตอร์ จึงตัดสินใจที่จะเล่นเรือหนีไปยังขั้วโลกเหนือด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ว่า เจ้าผีร้ายจะไม่มีทางตามหาเขาเจออย่างแน่นอนแต่แล้วดินแดนแห่งใหม่นี้กลับ กลายเป็นสุสานสำหรับตัวของเขา อากาศที่หนาวเหน็บ ทำให้ร่างกายของ วิคเตอร์ ที่อ่อนแออยู่แล้วกลับล้มเจ็บลง สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับธรรมชาติที่หนาวเหน็บ วิคเตอร์ เสียชีวิตอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากญาติพี่น้อง เขาเสียชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวและเหงาหงอย
หลัง จากที่เขาเสียชีวิตไปไม่นาน เจ้าผีดิบก็ได้ตามมาถึงตัวนายของมันแต่ไม่ทันเสียแล้ว มันไม่สามารถที่จะตาม วิคเตอร์ ไดอีกแล้ว เพราะวิคเตอร์ได้ด่วนลาหนีมันไปยังปรโลกเสียแล้ว การตายของวิคเตอร์ ทำให้เจ้าผีดิบเสียใจเป็นอย่างมาก เหตุใดนายที่มันเฝ้าจงรักภักดีถึงได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทิ้งมันให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ ทำไมเขาจึงไม่มีความรับผิดชอบ สร้างมันขึ้นมาแต่กลับทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เมื่อเห็นว่าหน้าตาของมันอัปลักษณ์ ไม่สวยงามอย่างที่เขาเคยคิดหรือหวังเอาไว้ มันทำความผิดอะไรเอาไว้ถึงต้องทำกับมันเช่นนี้
การ ที่มันเฝ้าติดตามเขานั้น มันต้องการเพียงแค่ให้เขารักและปรานีแก่มันบ้าง เพราะในโลกนี้ก็คงมีเพียงแค่นายของมันเท่านั้นที่ไม่กลัวมันและรู้จักมัน เป็นอย่างดี มันไม่หวังให้คนอื่นมารักใคร่มัน ขอเพียงแค่นายของันรักและเข้าใจมันก็พอ แต่ก็ดูเหมือนว่าความหวังสุดท้ายของมันก็เป็นหมันเสียแล้ว มันก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมบนโลกใบนี้ เจ้าผีร้ายจึงได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายทันที คงเหลือไว้เพียงความงงงันของลูกเรือที่พบเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาด

เรื่อง ราวเหล่านี้จึงกลายเป็นตำนานของผีดิบ แฟรงเกนสไตน์ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรเลย แต่คนเล่าไม่รู้จะเรียกว่ามันอะไรดี จึงเรียกชื่อผู้ที่สร้างมันแทน เรียกไปเรียกมาก็เลยกลายเป็นชื่อของมันไปเสียเลยก็นับว่าเป็นผีดิบที่น่า สงสาร เพราะหากเรามีโอกาสฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งแต่กลับไม่สามารถใช้ชิวิตอ ยู่ในสังคมได้ เพราะเดินไปทางไหนผู้คนต่างก็หวาดกลัวและคอยหลบหนีหน้าเราไปนั้น เราก็คงไม่อยากที่จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอนบทเรียนครั้งหนึ่งถ้าหาก จะกล่าวโทษก็คงต้องโทษ วิคเตอร์ และเฮนรี่ ที่แอบไปเล่นพิเรนทร์ สร้างมนุษย์ไห้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ฝืนธรรมชาติ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามที่ใจของตนเองวาดหวังเอาไว้ ก็ไม่รับผิดชอบหรือหาหนทางแก้ไขกลับทิ้งให้เป็นปัญหาคาราคาซัง สุดท้ายตนเองก็ต้องกลายเป็นคนที่รับเคราะห์ร้ายเสียเอง ไม่แน่ใจว่าในอนาคตอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์ขี้เล่นสามารถชุบชีวิตมนุษย์ขึ้นมา ใหม่ ไดเหมือน วิคเตอร์ คราวนี้เราอาจจะมีเรื่องราวตื่นเต้นในชีวิตเกิดมากขึ้นก็เป็นได้ ผีดิบอาจจะเดินสวนกับมนุษย์โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ได้

13.Viking

13.Viking

ไวกิ้งแฟน Castle คงชื่นชอบตัวนี้รองมาจากทหารเสือละมั้งครับเอาไปเล่นกับธีม ไวกิ้งได้เลยโล่เป็นแบบสกรีนหมวกก็คล้ายของเดิม
ขวานตัวนี้ถือว่ามี Accessory เกือบจะเยอะสุดในรุ่นเดียวกันทำมาดูดีใช้ได้ครับ

ให้คะแนนไป 7/10



“ไวกิ้ง” แปลว่าโจรสลัดในภาษานอร์สเก่า
พวก ไวกิ้งคือพวกไล่ลาอานานิคมเเละเป็นโจรที่ไล่ล่าเงิน เสบียงอาคาร เเละทาศ เเละเป็นนักการค้าที่เก่งกาจเมื่อพันกว่าปีมาเเล้ว ชาวไวกิ้งส์ที่เราส่วนใหญ่มักเห็นพวกเขาในลักษณะที่ไว้เครายาวและสวมหมวก เหล็กประดับด้วยเขาวัว พวกนี้เป็นที่รู้จักในด้านความโหดเหี้ยมและรักการต่อสู้ ศัตรูของพวกไวกิ้งส์ก็ทั้งเกลียดและกลัวพวกเขา พวกไวกิ้งฆ่าได้ทุกอย่างที่ต้องการฆ่า เเม้กระทั้งเด็ก คนชรา หรือ นักบวชก็ตาม เพราะในยุคของไวกิ้ง ศาสนาคริสยังมิเเพร่หลายในยุคนั้น พวกไวกิ้งมักจะเชื่อพระเจ้าของเข้าเอง ภาษานอร์สที่เรียกพระเจ้าของพวกไวกิ้งว่า Norrøne mytologi หรือ Norrøne gudene เเต่ในที่สุดศาสนาคริสก็เเพร่หลายในหมู่ไวกิ้งในที่สุดในยุคของ Olav Den Hellige.



พวกไวกิ้งยังเป็นนักสำรวจที่ห้าวหาญอีกด้วย เรือใบลำยาวแคบของพวกเขาพาพวกเขาจาก
นอร์ เวย์ สวีเดนและเดนมาร์ค อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนไปยังชายฝั่งของกรีนแลนด์และอเมริกาเหนือ พวกไวกิ้งส์ใช้วิธีอันชาญฉลาดเวลาเดินเรือออกสำรวจ



เท่า ที่ทราบกัน ชาวไวกิ้ง (Viking) เป็นชาวสเเกนดิเนเวียนในสมัยนั้นได้เเก่ นอร์เวย์ เดนมากค์ เเละสวีเดน เเต่บรรพบุรุษไวกิ้งก็ยังได้ทิ้งศาสตร์อย่างหนึ่งในประเทศเเทบสเเกนดินาเวีย จนถึงทุกวันนี้ นั้นคือศาสตร์ของการต่อเรือ จนไม่มีประเทศใดในโลกจนปัจจุบันนี้ที่จะเก่งกาจในการต่อเรือได้เท่ากับประ เทศเเทบเหนืออย่างสเเกนดินาเวียนอีกเเล้ว นี้ก็ถือว่าเป็นข้อดีค่ะ เพราะศาสตร์ในการต่อเรือสำเภานี้ เป็นกลยุทที่ทำในนอร์เวย์ได้
ประเทศอังกฤษมาปกป้องในสงครามครั้งที่สองเเละได้ทำการค้ากับประเทศมหาอำนาจในสมัยช่วงสงครามนั้น


ช่วง เวลาที่นับเป็น “ยุคไวกิง” อยู่ระหว่าง พ.ศ. 1336 – พ.ศ. 1609 ซึ่งสิ้นสุดยุคประมาณระหว่างยุคเชียงแสนและหริภุญชัย หรือก่อนสถาปนาราชวงศ์พระร่วงโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ.ศ. 1792) 183 ปี


ด้วย ธรรมชาติของการเป็นนักจู่โจมทางเรือโดยทางทะเลซึ่งจะต้องเข้มแข็ง ดุดันและไม่กลัวอันตราย ชาวไวกิงจึงมีกิตติศัพท์หรือได้สมญาว่าเป็นพวกโหดเหี้ยมทารุณและเป็นนัก ทำลายล้าง แต่ในฐานะของพ่อค้าและนักปกครองอาณานิคม ชาวไวกิงนับได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทและอิทธิพลสูงทางดีในด้านการพัฒนายุโรปยุค กลาง การตั้งถิ่นฐานโพ้นทะเลในยุคแรกๆ ของชาวไวกิงได้แก่การตั้งเมือง “ออร์กนีย์” และที่หมู่เกาะ “เช็ทแลนด์” ซึ่งอยู่ในการปกครองของนอร์เวย์เรื่อยมาและสิ้นสุดเมื่อ พ.ศ. 2015



12.Surfer Girl

12.Surfer Girl

นักเล่นเซิฟตัวนี้เอาของเก่ามาเล่าใหม่จริงๆ ผมนี่น่าจะอันเดียวกับพยาบาลในชุด 1 ส่วนแผ่นเซิฟนี่ก็เปลี่ยนลายเป็นสีชมพู
ไม่มีอะไรแปลกใหม่

ให้คะแนนไป 3/10



ไปดูกันเอาเองแล้วกันอาชีพเดิมมาทำใหม่อันเดิมนูบว่านูบทำดีอยู่แล้วไปดูกันเองแล้วกันนะครับ

https://noobtbc.wordpress.com/2010/10/19/minifig-serie-2-part-2/

หรือ

http://www.thaibrickclub.com/forum/index.php?topic=2808.0

นัก กีฬา 4 ขา และพี่เลี้ยง (เจ้าของ) เรียงแถวรายงานตัวด้านหน้าเวทีกรรมการ

ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆ สำหรับการแข่งขันเซิร์ฟบอร์ดสุนัข“Surf Dog Surf-a-Thon”

ที่ คนอเมริกันเขาจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ บริเวณชายหาดนอร์ธ บีช

(แต่ มักเรียกกันว่า “ด็อก บีช”) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อกระตุ้นจิตสำนึก

ใน การรับผิดชอบดูแลสัตว์เลี้ยงของผู้เป็นเจ้าของ

และหารายได้สมทบทุนเหลือช่วยน้องหมาด้อยโอกาส

และ ถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์ สัตว์เลี้ยง ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 4 แล้ว

สุนัข ที่เข้าแข่งขันจะถูกแบ่งออกเป็นรุ่นๆ ได้แก่ รุ่นเล็ก กลาง ใหญ่

และจะได้คะแนนเพิ่มเป็นพิเศษถ้าหากลงแข่งขันตามลำพังโดยที่ไม่มีเจ้าของคอย

เล่นและให้กำลังอยู่เคียงข้าง หรือสามารถยืนทรงตัวขณะโต้คลื่นได้

หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดแข่งขันและ ระดมทุน คือ  สถานสงเคราะห์สัตว์

“Helen Woodward Animal Centre”  ในเมืองซานตาเฟ่







11.Punk Rocker

11.Punk Rocker

ร้อคพันธุ์แท้ตัวนี้สิผมทรงใหม่ทำไปได้ไงไม่รู้แต่ดูแล้วเข้ามากๆ กีต้าแนวมากครับทำมาได้อย่างลงตัวจริง

ให้คะแนนไป 10/10



ร็อก (อังกฤษ: Rock) เป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมในกระแสหลักในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 มีต้นกำเนิดจากดนตรีร็อกแอนด์โรล ริทึมแอนด์บลูส์ ดนตรีคันทรีในคริสต์ทศวรรษ 1940 และ 1950 รวมถึงเพลงแนวโฟล์ก แจ๊ซและดนตรีคลาสสิก

ดนตรี เพลงร็อกมันวงไปด้วยเสียงกีตาร์แบบแบ็กบีตจากส่วนจังหวะของกีตาร์ เบสไฟฟ้า กลองและคีย์บอร์ด อย่างออร์แกน เปียโน หรือตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ก็มีการใช้เครื่องสังเคราะห์เสียง ร่วมไปกับกีตาร์และคีย์บอร์ด ยังมีการใช้แซกโซโฟน และฮาร์โมนิกาในแบบบลูส์ก็มีใช้บ้างในท่อนโซโล่ ในรูปแบบร็อกบริสุทธิ์แล้ว ใช้ 3 คอร์ด จังหวะแบ็กบีตที่แข็งแรงและหนักแน่น รวมถึงมีเมโลดี้ติดหู[1]

ใน ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เพลงร็อกพัฒนาจนแตกแยกย่อยเป็นหลายแนวเพลง และเมื่อรวมกับเพลงโฟล์กแล้วจึงเป็น โฟล์กร็อก รวมกับบลูส์เป็น บลูส์-ร็อก รวมกับแจ๊ซเป็น แจ๊ซ-ร็อก ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ร็อกยังเกี่ยวข้องกับเพลงโซล ฟังก์และละติน เช่นเดียวกันในยุคนี้ร็อกยังได้เกิดแนวเพลงย่อยอีกหลายแนวเช่น ซอฟต์ร็อก เฮฟวีเมทัล ฮาร์ดร็อก โพรเกรสซีฟร็อกและพังก์ร็อก ส่วนแนวเพลงย่อยร็อกที่เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1980 เช่น นิวเวฟ ฮาร์ดคอร์พังก์และอัลเทอร์เนทีฟร็อก ในยุคคริสต์ทศวรรษ 1990 แนวเพลงย่อยที่เกิดเช่น กรันจ์ บริตป็อป อินดี้ร็อกและนูเมทัล

มี วงร็อกส่วนใหญ่ประกอบด้วย สมาชิกที่เล่นกีตาร์ไฟฟ้า นักร้องนำ กีตาร์เบสและกลอง ก่อตั้งเป็นวง 4 ชิ้น มีบางวงที่มีสมาชิกน้อยกว่าหรือมากกว่า ตำแหน่งเล่นดนตรีบางคนก็ทำหน้าที่ร้องก็มี ในบางครั้งอาจเป็นวง 3 คนหรือวงดูโอซึ่งอาจมีนักดนตรีเสริมเข้ามาอย่างกีตาร์ริธึมหรือคีย์บอร์ด บางวงอาจมีการใช้เครื่องดนตรีสายอย่างไวโอลิน เชลโล หรือเครื่องเป่าอย่าง แซกโซโฟน หรือทรัมเปตหรือทรอมโบน แต่มีวงไม่มากนักที่ใช้

THE STORY OF ROCKเมื่อปี 1955 ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock ‘n’ Roll) ทำให้โลกดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเกิดดนตรีรูปแบบใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหวาน ทั้งร้อนแรง โศกเศร้า จริงใจ เปิดเผย ผสมผสานกันด้วยความรุนแรง เร่าร้อน ดุดัน แต่บางขณะกลับอ่อนหวานเกินคาดเดา Rock ‘n’ Roll

เมื่อ Bill Haley and his Comets นำเพลง (We’re Gonna) Rock Around the Clock ขึ้นอันดับ 1 ในบิลล์บอร์ดชาร์ท เมื่อวันที่ 9 ก.ค.1955 และอยู่ในตำแหน่งนั้นนานถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock ‘n’ Roll) ได้เกิดขึ้นแล้ว Chuck Berry, Little Richar, Fats Domino, Bo Diddley, Ray Charles เป็นศิลปินผิวดำที่ร่วมสร้างดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ขึ้นมาเมื่อกลางทศวรรษ ที่ 50 ด้วยเพลงร็อคดีๆมากมาย แต่ดูเหมือนร็อคแอนด์โรลล์จะขาดอะไรไปบางอย่าง

จน การมาถึงของหนุ่มนักร้องผิวขาวที่ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ต้นปี 1956 เอลวิส ในวัย 21 กับเพลง Heartbreak Hotel ที่ขึ้นอันดับ 1 ก็โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เอลวิสมีเพลงฮิตหลายเพลงในปีนั้นเช่น Blue Suede Shoes, I Want You I Need You I Love You, Hound Dog, Don’t Be Cruel, Love Me, Anyway You Want Me และ Love Me Tender ส่งผลให้เขากลายเป็นราชาร็อคแอนด์โรลล์ไปในทันที Carl Perkins, Jerry Lee Lewis, Buddy Holly, Gene Vincent, The Everly Brothers, Ricky Nelson, Roy Orbison เป็นศิลปินรุ่นต่อมาที่ได้ร่วมสร้างดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ให้แข็งแรงขึ้น

ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกิดจากส่วนผสมของดนตรีหลายอย่างที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น Country, Gospel, Blues และ Rhythm and Blues แต่ก็ต้องขอบคุณต่อเสน่ห์ของเอลวิส ที่ทำให้ร็อคแอนด์โรลล์โด่งดังและเติบโต มาได้ถึงทุกวันนี้ แต่แล้ว เมื่อต้นทศวรรษที่ 60 ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกือบจะพบจุดจบ เพราะความคลั่งไคล้ในร็อคแอนด์โรลล์ ก่อให้เกิดการเลียนแบบอย่างไร้สาระ ถึงแม้จะมีศิลปินเกิดใหม่มากมาย แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง คราวนี้ร็อคแอนด์โรลล์ต้องขอบคุณต่อหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ในนามของ The Beatles British Invasion

บริ ทิช อินเวชั่น (Britiah Invasion) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1964 โดยคณะนักดนตรีจากอังกฤษจำนวนมากมาย นำรูปลักษณ์ และบทเพลงใหม่ๆ ออกท้าทายวงการร็อคแอนด์โรลล์ มันกลายเป็นการพัฒนาดนตรีร็อคครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด หลังจากเอลวิส เพรสลีย์ และนักดนตรีชาวอเมริกันหลายคนสร้างขึ้นมา แม้พวกเขาจะเป็นเพียงหนุ่มวัยรุ่น 4 คน ที่เกิดมาในครอบครัวของชนชั้นกรรมาชีพจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อได้รวมตัวกันในนามของ The Beatles และสร้างผลงานเพลงขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ใช่แค่วงดนตรีธรรมดา

เด อะ บีเทิลส์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ในวงการดนตรี แต่ยังหมายถึง แฟชั่น วัฒนธรรม ศิลปทุกแขนง ไปจนถึงการเมือง อิทธิพลของพวกเขาไม่ใช่แค ทรงผม ท่าทาง เสื้อผ้า หรือรองเท้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแนวความคิด วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

มี กลุ่มนักดนตรีจากอังกฤษจำนวนมากมาย ที่ร่วมขบวนการมากับเดอะ บีเทิลส์ แต่ที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันได้แก่ The Rolling Stones, The Kinks และ The Who รวมทั้งที่กลายเป็น ศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น Jeff Beck, Steve Winwood, Van Morrison และ Eric Clapton ในขณะที่ British Invasion กำลังครอบครองวงการร็อคแอนด์โรลล์และวงการ พ็อพ (Pop) อย่างหนักนี้ ดนตรีอเมริกันเจ้าของเพลงร็อคแอนด์โรลล์ ก็เริ่มการโต้ตอบ กลับโดยดนตรี ริธึมแอนด์บลูส์ ( Rythm and Blues) ซึ่งเริ่มพัฒนามาเป็นเพลงร็อคเต็มตัว เช่นเพลงทั้งหมดจาก Motown ที่ ภายหลังถูกเรียกว่า เพลงโซล (Soul) อีกส่วนหนึ่งมาจากดนตรีของ The Beach Boys และที่สำคัญที่สุด มาจากนักร้องนักแต่งเพลงโฟล์คที่ชื่อ Bob Dylan แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นบนอันดับเพลงในช่วงนี้ กลับเป็นการพัฒนาดนตรีร็อค ครั้งสำคัญที่สุด มันทำให้เพลงร็อคมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป

Psychedelicปี 1967 วงการร็อคพัฒนาตัวเองไปอีกก้าวใหญ่ ถึงแม้ความจริง มันจะเป็นยุคแห่งความยุ่งยากทางการเมือง ยุคแห่งการเรียกร้องสันติภาพ ยุคแห่งการเติบโตของยาเสพติด แต่กลับกลายเป็นพลังให้ดนตรีร็อคพัฒนาตัวแทรกเข้าถึงดนตรีประเภทอื่นๆ และย้อนกลับมาเป็นดนตรีร็อคของพวกเขาอย่างเต็มภาคภูมิ Blues-Rock, Folk-Rock, Country-Rock เกิดขึ้นในช่วงนี้ จากการนำของวงดนตรีอย่างเช่น The Byrds, The Cream, The Paul Butterfield Blues Band จากนั้นก็มุ่งเข้าสู่ยุค Psychedelic อย่างเต็มตัวจากเพลงของ The Beatles, Jefferson Airplane, The Grateful Dead, The Doors, Pink Floyd, Jimi Hendrix และ Janis Joplin อีกสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาดนตรีร็อคในช่วงนี้ คือ ดนตรีโซล (Soul) จากบริษัทแผ่นเสียง Stax1 ซึ่งได้นำจังหวะเพลงที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง เข้ามาสู่เพลงร็อค และแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ

Rock, Hard Rock, Heavy Metal, Soft Rock ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ไม่มีใครหยุดยั้งร็อคแอนด์โรลล์ได้ มันเจริญ เติบโตด้วยตัวของมันเองส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการผสมผสานกับดนตรี รูปแบบอื่น อย่างไร้พรหมแดน แต่อย่างน้อยเราก็เห็นว่า มันมีแนวทางที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างคือ Hard Rock เป็นดนตรีที่หนักหน่วง และ Soft Rock เป็นร็อคที่นุ่มนวลกว่า

Hard Rock, Heavy Metal ในทางด้านดนตรีนั้น ทั้ง Heavy Metal และ Hard Rock มีความใกล้เคียง กันมาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยทั้งสองแนวนี้จะใช้เสียงในการเล่นที่ดัง เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ จะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง บวกกับเสียงร้อง ที่ต้องใช้พลัง มีสิ่งหนึ่งที่พอจะแยกความแตกต่างระหว่าง Heavy Metal กับ Hard Rock คือ ดนตรีในแบบ Hard Rock นั้น จะมีเสียงของดนตรีบลูส์ และร็อคแอนด์โรลล์ ปะปนอยู่ แต่ใน Heavy Metal นั้นมีน้อยมาก

10.Musketeer

10.Musketeer

ทหารเสือนี้ได้รับคำวิพากวิจารณ์เรื่องความหมายกันอย่างกว้างขวางและเป็นตัวเกร็งที่จะได้รับความนิยม
หลังจากได้มาแล้วบอกตรงๆว่าผิดหวังเล็กน้อยนึกว่าจะสวยกว่านี้ แต่ก็สวยมากครับหมวกแบบใหม่ที่ทำมาได้อย่างดีพร้อมพู่สีขาว
ดาบที่ดูเหมาะสมกับยุคสมัย นักสะสมคงมีกันคนละ 3 ตัวละมั้งครับ

ให้คะแนนไป 9/10




“หนึ่งเพื่อหมู่ หมู่เพื่อเอกภาพ!” (One for All and All for One)


สาม ทหารเสือ (ฝรั่งเศส: Les Trois Mousquetaires; อังกฤษ: The Three Musketeers) เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของอเล็กซานเดร ดูมาส์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาฝรั่งเศส เป็นตอนๆ ในนิตยสาร Le Siècle ระหว่างเดือนมีนาคม ถึงกรกฎาคม ค.ศ. 1844


เนื้อ เรื่องในนวนิยายเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กล่าวถึงการผจญภัยของนักดาบหนุ่มจากกาสคอญชื่อ ดาตาญัง (d’Artagnan) เดินทางมาปารีสเพื่อสมัครเป็นทหารองครักษ์ของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส ได้พบปะและสนิทสนมกับ “สามทหารเสือ” ที่ประกอบด้วยเอธอส, ปอร์ธอส และอารามิส และนับถือเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน


ดู มาส์ได้เขียนนวนิยายภาคต่อของ Les Trois Mousquetaires อีกสองภาค คือ Vingt ans après (Twenty Years After, ปี 1845) และ Le Vicomte de Bragelonne ou Dix ans plus tard (The Vicomte of Bragelonne: Ten Years Later, ปี 1847-1850) ทั้งสามภาคมีดาตาญังเป็นตัวเอก โดยมีตัวละครประกอบเป็นบุคคลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ เช่น สมเด็จพระราชินีอานน์แห่งออสเตรีย จอร์จ วิลเลียรส์ ดยุคแห่งบัคคิงแฮมที่ 1 พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส คาร์ดินัลริเชอลิเออ ชายในหน้ากากเหล็ก รวมทั้งตัวละครเอกทั้งสี่


ใน ช่วงเวลาของการก่อกบฏ และการหักหลัง ภาพยนตร์เรื่องนี้ตามติดชีวิตอันโลกโผนของ ดาตาญัง หลังจากที่ออกจากหมู่บ้านเล็กๆ ใน Gascogne ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นทหารเสือของพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้เขายังมีจุดมุ่งหมาย ในการตามล่าชายผู้ซึ่งฆ่าพ่อแม่ของเขาเมื่อ 14 ปีก่อน นอกจากต้องเผชิญกับอุปสรรคระหว่างทางมาปารีสแล้ว เขายังต้องเผชิญกับศัตรูในนครหลวงด้วย นั่นก็คือ คาร์ดินาล ริเชลิเออร์ และกองทัพที่ไม่ชอบธรรมของเขาซึ่งนำทัพโดยชายเลือดเย็นที่ชื่อ ฟีเบร

ชาย หนุ่มได้ตามหา อรามิส, เอธอส และ พอร์ธอส อีกสามทหารเสือ องค์รักษ์ของพระเจ้าแผ่นดิน แต่กลับพบว่า เหล่าทหารเสือกลับกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ตรงข้ามกับที่เขาคิด ส่วนทหารเสืออีกที่เหลือ ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ในขณะที่ผู้นำของพวกเขา เทรวิลล์ ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใส่ความโดย ฟิเบร

เมื่อ เป็นดังนี้ ดาตาญังจึงต้องต่อสู่เพียงผู้เดียว โดยมีสาวสวยนามว่า ฟรานเชสก้า เป็นพันธมิตร เช่นเดียวกับดาตาญัง ฟรานเชสก้าก็เป็นเด็กกำพร้า โดยแม่ของเธอ เป็นถึงช่างตัดเสื้อประจำพระองค์ขององค์ราชินี ด้วยความจงรักภักดี เธอจึงยอมแม้แต่เสี่ยงชีวิตเพื่อพิทักษ์ราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเลือกดาตาญังเพื่อภารกิจนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้ององค์ราชินีจาก ฟิเบร ผู้โหดร้าย ซึ่งเป็นเพราะภารกิจนี้เอง ที่ทำให้ทั้งสองตกหลุมรักกันและกัน

ท่าม กลางสถานการณ์ที่คับขัน เหล่าทหารเสือต่างอยู่ไม่สุขแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากออกโรมรันกับกบฏโฉด ภายใต้คำขวัญที่เป็นอมตะที่ว่า “หนึ่งเพื่อหมู่ หมู่เพื่อเอกภาพ!” (One for All and All for One)


เมื่อ ดาบพร้อมแกว่งไกว และต่อมอดรีลนาลีนพร้อมทำงาน ดาตาญังและเหล่าสหาย ก็พร้อมแล้วที่จะออกศึก และก็เหมือนเช่นเคย… หน้าที่ของสหายเหล่านี้ คือปกป้องความอยุติธรรม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ภาพการเหินหาวตีลังกาของพวกเขา ขณะจับดาบโรมรันกับศัตรู เพราะในเรื่องราวที่ว่าถึงความกล้าหาญของพวกเขาเรื่องนี้ พวกเขาไม่เพียงต้องท้าทาย เฉพาะอำนาจมืดในประเทศฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่ 17 เท่านั้น แต่ยังท้าทายกับ ‘แรงโน้มถ่วงของโลก’ อีกด้วย !


แถมท้ายเมื่อเรารัก Starwar แต่เราก็คลั่งใครทหารเสือดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

และถ้าเรามีคนที่ชอบเหมือนเราละ

9.Kimono Girl

9.Kimono Girl

สาวชุดกิโมโน มีสกรีนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมพัดที่มาเป็นแบบใหม่สวยงาม
แต่ทรงผมนี่มันเหมือนกับ Sumo ใน Series 3 เลยแต่มีสกรีนด้านบนมาเพิ่มสวยดีครับแต่แตกต่างหน่อยได้มั้ยเดี๋ยวเอาไปใส่ซูโม่แทนเลยอิอิ

ให้คะแนน 8/10




กิโมโน (ญี่ปุ่น: 着物 kimono คิโมะโนะ ?) เป็นชุดแต่งกายประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น


ลักษณะของกิโมโน
กิโมโน ประกอบด้วยเสื้อนางางิ (長着) ซึ่งมีลักษณะเป็นคลุมขนาดยาวที่มีแขนเสื้อที่มีความกว้างมาก และสายโอบิ (帯) ซึ่งใช้รัดเสื้อคลุมนี้ให้อยู่คงที่ ชุดกิโมโนทั้งของหญิงและชายเมื่อใส่แล้วจะพรางรูปของผู้สวมใส่ไม่ให้เห็นสัด ส่วนที่แท้จริง ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมาก


kimono กับ yukata แตกต่างกันอย่างไร
ตอบ kimono มีหลายชั้นเวลาใส่ต้องมีความชำนาญ เนื้อผ้าทำจากผ้าไหมราคาแพง ส่วน yukata ส่วนใหญ่ทำจากผ้าฝ้าย และสามารถสวมใส่ได้ในฤดูร้อนมักใช้ในงานเทศกาล มาดูเครื่องแต่งกายแบบญี่ปุ่น ๆ กันว่าแต่ละอันเรียกว่าอะไร




Kimono ถ้า แปลตามตัวอักษรคันจิจะแปลว่า “เครื่องนุ่งห่ม,เสื้อผ้า,เครื่องอาภรณ์” และมีวิวัฒนาการความเป็นมาที่ยาวนานคู่กับประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายจนกระทั่งกลายเป็น ภาพติดตาเมื่อกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องนึกถึงภาพคนญี่ปุ่นในชุดกิโมโนที่สวยงาม Kimono มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันแล้วแต่โอกาสในการใส่ และเปลี่ยนรูปแบบไปตามฤดูกาล รวมถึงการสวมใส่ของแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัยก็ทำให้ Kimono เปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ






ปัจจุบัน ผู้ที่สวมใส่ Kimono ไม่ได้มีเพียงแต่คนแก่เท่านั้น วัยรุ่นก็ต้องใส่ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น วันฉลองอายุครบ 20 ปี , วันจบการศึกษา (ในบางโรงเรียน) เป็นต้น Kimono เป็นชุดที่มีราคาค่อนข้างสูง จึงนิยมมอบให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานอีกด้วย แต่ก็มีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่ไม่สามารถสวมกิโมโน หรือผูกโอบิได้ถูกต้อง จึงได้มีโรงเรียนสำหรับสอนการสวมใส่กิโมโนเกิดขึ้น เนื้อผ้ากิโมโนนั้นมีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหมแต่ถ้าเป็นไหมก็จะสวยงามมาก และราคาอาจจะสูงถึง ล้านเยน เลยก็มี





ชุด กิโมโนดู เหมือนว่าชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นประเทศใด จะทึ่งสตรีญี่ปุ่นที่ใส่ชุด กิโมโน กันมากหรือแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ทั้งนี้เป็นเพราะชาวญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่จะแต่งกายแบบส ากล ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันก็จะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เก ี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือไม่ก็อาจจะสวมเฉพาะในงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานฉลองการบรรลุนิติภาวะ งานปีใหม่ ฯลฯ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถสวมชุดกิโมโนได้เองจึงมีน้อย ถึงขนาดจัดเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของ “การเตรียมตัวเพื่อเป็นเจ้าสาว” ของสตรี





วิวัฒนาการของชุดกิโมโน
ชุด กิโมโน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ชุดยาว (เหมือนชุดติดกันผ่าหน้าในปัจจุบันแล้วเอามาทบกันที่ด้านหน้าแล ะผูกด้วยผ้าคาดเอวที่เรียกว่า โอะบิ) ยกเว้นพวกเสื้อคลุม หรือเสื้อโค๊ต ลักษณะชุดยาวดังกล่าวถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยนะระ และใช้เป็นชุดชั้นในมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงสมัยเฮอัน หลังจากนั้นได้มีการนำมาสวมใส่เป็นชุดภายนอกให้เข้ากับกางเกงที ่เรียกว่า ฮะคะมะ และถูกดัดแปลงให้ง่ายขึ้น เหมือนกับชุดกิโมโนในปัจจุบัน สวมใส่กันทั้งหญิงและชายในสมัยมุโระมะฉิ เมื่อมาถึงสมัยเอะโดะได้มีการนำชุดกิโมโนไปสัมพันธ์กับการแสดงฐ านะทางชนชั้นในระบบขุนนาง ชุดกิโมโนจึงเริ่มมีข้อบังคับที่หลากหลายขึ้นโดยเฉพาะผู้ชาย ตัวอย่างเช่น ชุดกิโมโนผ้าขาวเรียบอนุญาตให้ใส่ได้เฉพาะบุตรชายคนโตของไดเมีย วที่เกิดกับภรรยาหลวงเท่านั้น และทหารทั่วไปห้ามใส่ชุดกิโมโนผ้าไหม
( ผ้าซาติน ) ส่วนชาวบ้านจะใส่ผ้าป่านหรือผ้าฝ้าย แต่เมื่อคนทั่วไปมีฐานะร่ำรวยขึ้น ความอิสระในการแต่งกายก็เริ่มมีมากขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยเอะโดะเป ็นต้นมา เมื่อเข้าสมัยเมจิการแต่งกายแบบสากลก็เริ่มแพร่หลายจากเชื้อพระ วงศ์ไปสู่ทหาร ข้าราชการ และเหล่านักศึกษาตามลำดับ และในที่สุดก็แพร่หลายกันโดยทั่วไป





การแพร่หลายของชุดสากล
ขณะ ที่การแต่งชุดกิโมโนของบุรุษผูกพันธ์กับระบบชนชั้น ในทางตรงกันข้ามกลับไม่มีข้อบังคับที่เข้มงวดมากนักกับการแต่งก ิโมโนของสตรี กล่าวคือ มีข้อกำหนดเพียงว่าชุดกิโมโนแขนยาวที่เรียกว่า ฟุริโสะเดะ สำหรับหญิงสาวที่ยังโสดอยู่ใส่ และเมื่อแต่งงานแล้วให้เปลี่ยนเป็นชุดกิโมโนแบบแขนสั้น ด้วยเหตุนี้การแต่งกายด้วยชุดกิโมโนชีวิตประจำวันของสตรีจึงมีม าโดยตลอดจนกระทั่งถึงสมัยไทโช แต่เมื่อเข้าสู่สมัยโชวะที่สตรีมีบทบาทในสังคมมากขึ้น การแต่งกายแบบสากลก็แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์การแต่งกายแบบตะวันตกของชาวญี่ปุ่น แม้กระทั่งการแต่งกายของบุรุษจึงสั้นมากเพียง 1 ศตวรรษกว่าเท่านั้น ในปัจจุบันการแต่งกายแบบสากลเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป ถึงขนาดสตรีสามารถแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของนักออกแบบเสื้อระดับโล กได้โดยไม่แปลกแต่อย่างใด งานแสดงแฟชั่นก็เช่นเดียวกัน เวทีแสดงแฟชั่นได้ค่อย ๆ ย้ายจากปารีส นิวยอร์คเข้ามากรุงโตเกียว นักออกแบบเสื้อของชาวญี่ปุ่นเองไม่ว่าจะเป็นโมะริ ฮะนะเอะ, มิยะเขะ อิสเซ, ยะมะโมะโตะ คันไซ, ทะคะดะ เค็นไซ และยะมะโมะโตะ โยจิ ล้วนแต่มีบทบาทในแฟชั่นระดับโลกอย่างมาก













ไม่กล้าลงรูปล่อแหลมมากเดี๋ยวจะโดนบ่นอีกเด็กๆดูกันเยอะ
เลือกรูปลำบากมากรูปนี้ก็สวยรูปนั้นก็น่ารัก (ชุดนะครับ อิอิ)
สงสัยต้องใช้เรท ฉ+20 แบบคู่มือ Star war ซะแระ

แถมๆรูป Kimono


















8.Crazy Scientist

8.Crazy Scientist

นักวิทยาศาสตร์ ผมสีเทาทำจากยางมาพร้อมขวดรูปชมภู่บรรจุน้ำสีเขียว ชอบขวดนี้จริงๆทำมาสวยมากผมนี่น่าจะมาแนวเดียวกับ Exoforce
แต่ขวดทดลองแปลกใหม่สวยงามสุดๆน่าเป็นเจ้าของสักตัว

ให้คะแนน 8/10



วิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนาคือคนขาพิการ

ศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์คือคนตาบอด

Religion without science is blind.

Science without religion is lame.

จาก Albert Eistien

ประวัติอัลเบิร์ท ไอน์สไตน์

อัล เบิร์ท ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เขาเกิดมาในครอบครัวชาวยิวในเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ.1879 ในวัยเด็ก เขาไม่ชอบไปโรงเรียน แต่เขาศึกษาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่บ้าน
เขา ได้ไปศึกษาในวิทยาลัยที่ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในด้านฟิสิกส์ในปี 1905 เขาได้ตีพิมพ์ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของจักรวาล ทฤษฎีพิเศษว่าด้วยความสัมพันธ์ ทฤษฎีดังกล่าวอธิบายว่าสสาร พลังงาน และเวลาสัมพันธ์กันอย่างไร ทฤษฎีสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้ไอน์สไตน์มีชื่อเสียงก้องโลก และในปี 1921 เขาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ไอน์สไตน์ เสียชีวิตในปี ค.ศ.1955

อัต เบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2422 ที่เมืองโฮล์ม ทางภาคใต้ของเยอรมัน บิดาของเขาเปิดร้านค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก เมื่อปี พ.ศ. 2423 บิดาของเขาได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่มิวนิค ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางภาคใต้ของเยอรมัน อัลเบิร์ต เป็นเด็กที่เคร่งขรึมเหมือนมารดา หัวเราะยาก เขาไม่ชอบการเล่นทหารที่สุด เขาเกลียดทหารมากแต่รักความอ่อนโยนและต้องการเหตุผล เมื่อเด็กๆ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไม่ชอบการเรียนหนังสือ เพราะครูบังคับให้เขาท่องจำต่าง ๆ เขาต้องการเหตุผลว่าเหตุใดจึงต้องทำในทุกกรณี ดังนั้นเมื่อครูไม่ให้คำตอบ อัลเบิร์ตจึงเบื่อหน่ายในการเรียน อัลเบิร์ตเป็นคนยิว วันหนึ่งเมื่อครูสอนศาสนาได้นำตะปูมาสองตัว และบอกว่าตะปูนี้และที่ชาวยิวได้ใช้ตรึงพระเยซู ตั้งแต่นั้นเพื่อน ๆ พากันชิงชังอัลเบิร์ต ไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย ต่อมาอัลเบิร์ต จึงไปเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษามูนิคยิมนัสเซียม แต่เขาก็ต้องผิดหวังเพราะที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นการสอบแบบเก่า

ท่อง จำในสิ่งที่ไม่เข้าใจราวกับนกแก้วนกขุนทองมีระเบียบวินัยเคร่งครัดจนเกินไป อัลเบิร์ตปรารถนาที่จะได้ถามคำถาม และต้องการคำตอบที่ชอบด้วยเหตุผล เขาอยากให้นักเรียนได้แสดงทัศนะความคิดเห็นของตนเองต้องการฟังเรื่องราวที่ น่าสนใจเขาชอบถกปัญหาต่าง ๆ ที่ได้ไตร่ตรองคิด นอกจากนั้นเขายังต้องการหาความรู้เพื่อเข้าใจชีวิตอย่างถูกต้อง ทางสู่วิทยาศาสตร์ของอัลเบิร์ตเริ่มต้นเมื่อเห็นเพื่อนบ้านชาวรุสเซียให้เขา ยืมหนังสือชุด “วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ” (Euclid) 12 > อัลเบิร์ต สนใจวิชาคณิตศาสตร์มาก เขานำหน้าเพื่อนร่วมชั้นไปได้ไกล แต่วิชาอื่นเขาได้อันดับสุดท้าย ต่อมาบิดาของเขาต้องปิดโรงงานนั้นเสียเพราะขาดทุนและย้ายไปอยู่ที่มิลาน อิตาลี อัลเบิร์ตได้ตามไปด้วย และภายหลังเขาก็ย้ายต่อไปเมืองน่าเวีย อัลเบิร์ตสอบเข้ามหาวิทยาลัยโปลิเทคนิคในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสอบตกทุกวิชา แต่ได้เกียรตินิยมทางคณิตศาสตร์ ครูใหญ่ของโปลิเทคนิคจึงแนะนำให้ไปเรียนที่โรงเรียนอาเทแคนโทแนล ที่นั่นเป็นโรงเรียนที่ดีมาก นักเรียนทุกคนได้รับอิสระเสรีในการเรียน อัลเบิร์ตเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดี เมื่อเขาสอบได้ประกาศนียบัตรก็สามารถเรียนต่อในโปลิเทคนิคได้ ฐานะของบิดาของอัลเบิร์ตค่อนข้างยากจน ดังนั้นอัลเบิร์ตจึงใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดเขาจำเป็นต้องอยู่ที่ห้องเช่า หรูหราราคาแพง เพราะในซูริคในสมัยนั้นไม่มีห้องเช่าราคาถูก ๆ เลย อัลเบิร์ตต้องรับประทานอาหารมื้อเดียวเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อหนังสือ เมื่ออัลเบิร์ตเรียนจบได้ทำงานเป็นครูของเด็กสองคนชื่อหลุยส์และริลลี่ซาฟา ฟาเซนบนฝั่งแม่น้ำไรน์ แต่ต่อมาเขาถูกไล่ออกเพราะไปสอนคณิตศาสตร์ชั้นสูงให้กับเด็กและในสมัยนั้นมี การกีดกันเชื้อชาติในสวิส อัลเบิร์ต ได้เข้าทำงานในบริษัทของนายฮอลเลอร์ที่กรุงเบิร์น และหลังจากนั้นเขาก็ได้สมรถกับมิเลวา มริทา (มารี) ชาวฮังการี (บางฉบับว่าเปอร์เซีย) ซึ่งชอบพอกันมาแต่สมัยเรียนในโปลิเทคนิค อัลเบิร์ต ได้ประดิษฐ์เครื่องมือการบันทึกการวัดกระแสไฟฟ้าเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งและระหว่างนั้นเขาได้จัดตั้งกลุ่มก้าวหน้าขึ้น เพื่อนสนิทของเขา คือ ไมเคิล เบสโซ เป็นคนแรกที่ได้ยินทฤษฎีแห่งความสัมพัทธ์ (Theory of Relativity) ซึ่งจัดพิมพ์ใน พ.ศ. 2448


ทฤษฎี นี้ได้อธิบายไว้อย่าง ละเอียดแต่มีผู้คนที่เข้าใจในทฤษฎีนี้น้อยมากแม้แต่อัลเบิร์ตเองก็กล่าวว่า มีบุคคลที่มีชีวิตอยู่เพียง 12 คนเท่านั้นที่เข้าใจในทฤษฎีของเขาแม้จะมีหนังสือกว่า 900 เล่ม ได้เขียนขึ้นเพื่อพยายามอธิบายว่าทฤษฎีนี้คืออะไร อัลเบิร์ตเองก็เคยอธิบายเรื่องความสัมพัทธ์อย่างง่าย ๆ ว่าเมื่อท่านนั่งอยู่กับสุภาพสตรีที่มีเสน่ห์น่ารัก และคุยกันอย่างสนุกสนานในเวลา 1 ชม. ท่านจะคิดว่าเวลาผ่านไปเพียง 1 วินาที แต่ท่านนั่งลงบนเตาไฟร้อน ๆ เพียง 1 นาที ท่านจะคิดว่าเป็น 1 ชม. นี่แหละคือความสัมพัทธ์ หลังจากนั้น ชื่อเสียงของชาวยิวผู้นี้ก็เลื่องลือไปไกลจนเขาได้เข้าประชุมวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติที่เมืองซาลซาบูร์กสวิสเซอร์แลนด์ และในเวลาต่อ ๆ มา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็เริ่มได้ตำแหน่งดี ๆ ทางมหาวิทยาลัยและระหว่างนั้นเขาต้อง เผชิญกับปัญหาเรื่องผิวมีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้นำของคนชาวยิว เมื่ออัลเบิร์ตได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของ Kaiser Wilhem Physical Institute ในกรุงเบอร์ลิน มิเลว่าไม่ปรารถนาจะอยู่ในเยอรมัน ก็ยื่นคำขาดว่าเธอจะไม่ไปเบอร์ลินทั้งสองคนทะเลาะกันระหองระแหงตลอดมา ในที่สุด พ.ศ. 2457 อัลเบิร์ตก็หย่าขาดจากมิเลว่า เขามีลูกชายกับเธอชื่อ เอ็ดดวด พ.ศ. 2457 เขาแต่งงานกับญาติชื่อ เอลซ่า ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นปีที่เกิดสงครามโลกนั่นเอง เมื่อสงครามสงบเขาได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกา ในขณะนั้นคนเยอรมันก็เกลียดชังคนยิวมาก พวกยิวถูกลงโทษว่าทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ แม้แต่อัลเบิร์ตก็โดนทั้งๆ ที่ความมีสติปัญญาทางวิทยาศาสตร์ของเขาเป็นสิ่งที่ช่วยเขยิบฐานะของชาว เยอรมันให้สูงขึ้นในสายตาของคนชาติอื่นๆ ในปี พ.ศ. 2464 สถาบันวิชาการของสวีเดนได้มอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ให้กับอัลเบิร์ต ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดแห่งวิทยาศาสตร์นานาชาติ พ.ศ. 2475 ฮินเดนเบอร์กได้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และตั้งอดอฟฮิตเล่อร์เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอัลเบิร์ตทราบว่าฮิตเล่อร์ เกลียดชาวยิวเอามาก เขาจึงย้ายไปเบลเยี่ยมและต่อจากนั้นก็ย้ายไปเป็นศาสตราจารย์ในทางคณิตศาสตร์ ที่ Institite of Advance Studios ในมหาวิทยาลัย Princeton มลรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2479 ภรรยาของเขาถึงแก่กรรม ทำให้อัลเบิร์ตเศร้าโศกมาก เมื่อสงครามโลกอุบัติขึ้น หลังจากการที่ประชุมนักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อัลเบิร์ตได้ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รุสเวลท์ ว่าทางสหรัฐฯ ควรจะเร่งสร้างระเบิดปรมาณูได้แล้ว ในสมัยนั้นเป็นก้าวแรกที่ใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วยการทำสงครามอับเบิร์ตทราบดี ว่าเยอรมันก้าวหน้านำสหรัฐฯ ไปมากในความรู้ด้านนี้ ไอน์สไตน์ นีลบอห์ และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ได้มาพบปะกันและเริ่มค้นคว้าต่อไปในเรื่องนี้ นักวิทยาศาตร์ ชื่อเอริโก เฟอร์มมิได้ชักชวนให้นักวิทยาศาาสตร์อื่น ๆ ใช้ปรมาณูแบบปฏิกิริยาลูกโซ่อีกด้วย ได้มีการทดลองกันอย่างลับ ๆ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 ที่ฐานทัพอากาศอลาโมกอร์โด มลรัฐนิวแมกซิโกต่อมาในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิด B. 29 ของสหรัฐฯ ก็ได้ทิ้งระเบิดลูกหนึ่งชื่อ “ไอ้อ้วน” ลงไปที่เมืองฮิโรชิมาซึ่งเมื่อระเบิดเกิดควันเป็นรูปดอกเห็ดพุ่งขึ้นสูงถึง 8 ไมล์ จากลูกระเบิดปรมาณูนี้เอง ได้ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เร็วขึ้น เมื่อสงครามเลิก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็ลงนามในสัญญาที่ขอให้ยุติการใช้ระเบิดปรมาณุและให้หันมาใช้ปรมาณูเพื่อ สันติแทน เขาเขียนในสัญญาว่า “แน่นอนเราทุกคนมีความคิด ความรู้สึกไม่เหมือนกันแต่เราก็มีฐานะเป็นมนุษย์เช่นกัน เราควรจดจำไว้เสมอว่าถ้าการเกี่ยวข้องระหว่างตะวันออกกับตะวันตกถูกตัดสิน ออกมาในรูปการณ์ใดก็ตามอันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจมาสู่ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะ เป็นคอมมิวนิสต์ หรือต่อต้านคอมมิวนิสต์(โลกเสรี)ก็ตาม ผลแห่งการตัดสินใจไม่ควรออกมาในรูปของสงคราม” บั้นปลายของชีวิตนั้น อัลเบิร์ตสนใจกับงานทางวิทยาศาสตร์และการเล่นไวโอลินซึ่งเขามีฝีมืออยู่บ้าง ระหว่างปี พ.ศ. 2495 ชาวยิวได้เลือกให้ไอน์สไตน์เป็นประธานาธิบดีของปาเลสไตน์ (อิสราเอล) แต่อัลเบิร์ตปฏิเสธ โดยกล่าวว่าเขาไม่มีความรู้ทางการปกครองเลย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2498 พิธิฝังศพของเขาเป็นไปอย่างเงียบสบงตามความปรารถนาของเขา

น้อย คนนักที่จะไม่หลงระเริงไปกับความมีชื่อเสียงของตนเอง แต่อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) กลับเลือกที่จะใช้ชีวิตสงบสุข เขาปฏิเสธอำนาจที่หลายคนหยิบยื่นให้ เลือกความอ่อนโยน เกลียดสงครามและที่สำคัญอัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)ยังยกย่องพระพุทธศาสนาอีกด้วย เขาไม่เก่งคณิตและสอบเขามหาลัยไม่ได้ถึง2ครั้ง เเต่นั่นไม่สำคัญเท่า เขาเลือกจิตนาการ เลือกการเรียนรู้มิใช่เล่าเรียน กล้าคิด กล้าทำ อยู่อย่างพอดี อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)คือพระเจ้าในใจเรา เขากล้าที่จะลบล้างความเชื่องมงายและบอกกับทุกคนว่าศาสนาพุทธคือแก่นแท้ที่ เข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง


7.Ice Skater

7.Ice Skater

สาวไอซ์สเก็ต ผมทรงใหม่มาพร้อมรองเท้าสเก็ต และผ้าส่วนกางเกงขอตินิดเดียวเลโก้น่าจะทำรองเท้าสเก็ตให้ใส่ร้องระหว่างปุ่มแล้วยืนได้
จะยอดเยี่ยมมาก

ให้คะแนน 6/10จากกระโปรงและรองเท้าสเก็ต



สเก็ต น้ำแข็ง (Ice Skating) เป็นความหมายรวมของกีฬา หรือการเดินทางไปบนน้ำแข็ง โดยการใส่รองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง ที่มีลักษณะเหมือนรองเท้าหุ้มข้อสูง แต่มีใบมีดที่พื้นรองเท้าที่ปัจจุบันทำจากโลหะ โดยมีหลักฐานว่ามนุษย์รู้จักการเดินทางบนน้ำแข็งเช่นนี้ย้อนหลังไปถึงกว่า 4,000 ปีล่วงมาแล้ว





กีฬา สเก็ตน้ำแข็งเริ่มต้นในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานานแล้ว นับตั้งแต่ลานสเก็ตน้ำแข็งยุคแรกได้ถือกำเนิดขึ้น จนไปถึงลานสเก็ตน้ำแข็งมาตรฐานแห่งแรกในประเทศไทยที่เกิดขึ้นที่ “เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์” ซึ่งเวลานั้นได้รับความนิยมอย่างมาก จนถึงขนาดที่ได้มีลานสเก็ตน้ำแข็งเกิดขึ้นมากมายทั้งกลางเมือง และชานเมืองของกรุงเทพมหานคร รวมถึงต่างจังหวัดอย่างเช่นที่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม จนกระทั่งกระแสกีฬานี้ได้ซบเซาลงไป เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้วงการนี้อย่างจริงจัง ทำให้การเล่นกีฬานี้เปรียบเสมือนการเล่นเพื่อความบันเทิงมากกว่าการเล่น เพื่อการกีฬา จนลานต่าง ๆ ได้ทยอยปิดตัวลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแม้แต่เวิร์ลดเทรดเซ็นเตอร์ก็ได้ปิดลานสเก็ตแห่งดังกล่าวอย่างถาวร ไปแล้ว แต่เป็นที่น่ายินดีว่า ในปัจจุบัน กีฬาชนิดนี้ เริ่มมีกระแสตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้มีลานสเก็ตน้ำแข็งปิดใหม่อย่าง Zub Zero ที่อาคารศูนย์การค้า ดิ เอสพละนาดย่านรัชดา ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมีลานสเก็ตทั้งสิ้น 3 แห่ง คือที่ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิร์ล สำโรง, ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิร์ล ลาดพร้าว และที่ ศูนย์การค้าดิ เอสพละนาด




อุปกรณ์ที่ต้องใช้
รองเท้าสเก็ต (Skates) : ถ้าคุณยังไม่มีรองเท้าสเก็ตเป็นของตัวเอง ก็ไม่เป็นไร เพราะโรงสเก็ตทุกที่ จะมีอุปกรณ์ต่างๆ ให้เช่าด้วย
เครื่อง แต่งกาย: ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดๆ ตัดกันเป็นแถบๆ ที่เข้ากับสีผิวของคุณ ควรเลือกที่ทำด้วยผ้าใยสังเคราะห์หรือผ้าขนสัตว์ เพราะจะทำให้คุณอบอุ่นได้ แม้ว่าจะเปียก
ถุงมือ: เลือกแบบที่กันน้ำได้ เพื่อทำให้มือของคุณอุ่นในขณะเล่น
สนับเข่า สนับข้อศอก สายรัดข้อมือ: เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่น เพื่อใช้ป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการล้ม




“ไอ ซ์ สเก็ต” หรือสเก็ตน้ำแข็ง เป็นกีฬาที่ต้องฝึกถึงจะเป็น ถึงแม้ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่มันก็สนุกดี ไม่ว่าจะเป็นการหัดสเก็ต การหยุด และการสเก็ตถอยหลัง และยิ่งถ้าได้คนที่เก่งๆ มาสอน ก็ยิ่งเป็นเร็ว เพราะการเดินหรือทรงตัวบนน้ำแข็งและยังมีรองเท้าปลายแหลมอีก ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะฉะนั้นควรได้รับการฝึกฝน


อันนี้ไม่เกี่ยวแต่อยู่บนลานน้ำแข็ง

6.Artist

6.Artist

จิตรกร มาพร้อมหมวกสุดเท่ห์และภู่กันและจานสีไม่ต้องบอกก็รู้ว่าของใหม่หมดทำให้เป็นอีกตัวหนึ่งที่น่าสะสมมาก
ภู่กันสวยมากจานสีก็ทำได้ดีมาก

ให้คะแนนไป 10/10 ถ้าใครทำ MOC กระดานวาดรูปคงจะแจ๋วไปเลยถ้ามีแข่ง Moc ตัวนี้คงได้มานั่งวาดรูปสาวๆ 555+



วินเซนต์ แวน โก๊ะ ถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าชื่อเสียง ของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเอาในช่วง 3 ปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี ก็ตาม แต่เขาก็ได้สร้างอิทธิพลต่อ ศิลปะแบบอิมเพรสเช่นนิสท์ แบบโมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และ ภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ ซึ่งตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ ความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของ แวน โก๊ะนั้นแสดงออกมาทางภาพที่เขาเขียน ด้วยการใช้สีอันร้อนแรง การปัดพู่กันแบบหยาบๆ และรูปแบบของลายเส้นที่ใช้จนในที่สุดก็ได้ผลักดันให้ เขา จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย

วินเซนต์ แวน โก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี ค.ศ. 1853 ที่ซันเดิรท์ ย่านบราแบรนท์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ วินเซนต์เป็นบุตรชายคนโต บิดาเป็นนักบวชนิกาย โปรแตสแตนท์ เมื่อแวนโก๊ะอายุได้ 16 ปี เขาได้ไปฝึกงานขายภาพศิลปะที่ฮูเก้นท์ เขาทำงานขายภาพทั้งในลอนดอน และปารีสไปจนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1876

แวน โก๊ะก็เริ่มตระหนักว่า เขาไม่ชอบงานขายภาพที่เขาทำอยู่เลยประกอบกับถูกปฏิเสธ ความสัมพันธ์จากหญิงที่ตนรัก ทำให้เขาเริ่มทำตัวออกห่างจากผู้คนมากขึ้น และตัดสินใจที่จะออกบวช แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขา ไม่สามารถผ่านการทดสอบให้เข้ามาเป็นนักบวชได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเทศน์ไป และในปีค.ศ.1878 เขาได้เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบลเยี่ยมเพื่อ ทำการ เผยแพร่ศาสนา โดยพกพาเอาความยากจนค่นแค้นไปตลอดการเดินทางจากการเด ินทาง ครั้งนี้ แวนโก๊ะ ได้มีปากเสียงกับนักเทศน์ผู้อาวุโส ทำให้เขาถูกขับออกจากกลุ่มในปี ค.ศ.1880 ในสภาพของคนสิ้นไร้ และสูญเสียความเชื่อของตนไป เขาจมอยู่กับ ความผิดหวัง และได้เริ่มเขียนรูป แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถที่จะ เรียนรู้การเขียนภาพด้วยตนเองได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปบรัสเซล เพื่อเรียน การเขียนภาพ

ใน ปี ค.ศ.1881 แวน โก๊ะได้กลับมาทำงานที่ฮูเก้นท์อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มทำงานกับ ช่างเขียนภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ชื่อ อันตน มัวร์ ฤดูร้อนของปีถัดมาได้เริ่มการทดลอง การเขียนภาพด้วยสีน้ำมัน และด้วยเสียงเรียกร้องภายในจิตใจของ แวน โก๊ะ ให้ไปใช้ ชีวิตตามลำพังอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวดัชท์ เพื่อเริ่มการเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงามตามท้องที่ต่า งๆ เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับ การเขียนถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขา ในปี ค.ศ.1883 เขาได้สร้างงานเขียนภาพชิ้นแรก ขึ้นมา โดยให้ชื่อภาพว่า ” โปเตโต อีทเตอร์ ”

เมื่อ ความเหงาและความอ้างว้างเริ่มเข้ามาแกาะกุมจิตใ จของ แวน โก๊ะ เขาจึงออกจาก หมู่บ้านและเข้าศึกษาต่อที่ แอนท์เวอป์ ในเบลเยี่ยม แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติ ตามกฎของการเรียนที่นั่นมากนัก ช่วงที่เรียนอยู่ที่แอนเวอป์ เขาได้รับแรงบันดาลใจ จากจิตรกรที่ชื่อ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และได้เริ่มสนใจภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นด้วย ในที่สุด เขาก็ได้เลิกเรียน เพื่อไปยังปารีส ทีนั่นเขาได้พบกับ เฮนรี่ เดอ ตัวรูส และจอร์จีนส์ รวมทั้งศิลปินอิเพราสเช่นนิสท์อีกหลายคน เช่น คามิล ปิสซาโร โซรัส และคนอื่น ๆ การใช้ชีวิต 2 ปีเต็มที่ปารีสนั้น ได้ขัดเกลาฝีมือในการเขียนภาพของ แวน โก๊ะ ให้ เฉียบคมยิ่งขึ้นเขาเริ่มใช้สีสันที่มีชีวิตชีวา และไม่ยึดติดอยู่กับการเขียนภาพแบบเก่าๆ วินเซนต์ แวน โก๊ะ ใช้ชีวิตในตัวเมืองปารีส ได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงออกจากปารีส ไปในปี ค.ศ.1888

เพื่อ ไปยังเมืองอาเรสทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ที่เมืองอาเรสนั้น แวน โก๊ะได้เช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วตกแต่งบ้านด้วยสีเหลืองทั้งหมด เขาหวังที่จะตั้ง กลุ่มศิลปินอิมเพรสเช่นนิสท์ขึ้น ในเดือนตุลาคม จอร์จีนส์ได้มาอยู่ร่วมกับเขาแต่ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ต้องขาดสะบั้นลงในคืนวันค ริสตมาส อีฟ จอร์จีนส์ ได้โต้เถียงอย่างรุนแรงกับแวน โก๊ะ ทำให้แวน โก๊ะ เกิดบ้าเลือดขึ้นมาแล้วตัดใบหู ของตัวเอง ทำให้จอร์จีนส์จากไป และตัวของเขาเองต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแสดงอาการต่างๆ ของแวน โก๊ะ นั้น ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและประสาทที่ผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เมื่อ แวน โก๊ะ ออกจากโรงพยาบาล เขาได้ไปอาศัยอยู่กับศิลปิน นักฟิสิกส์ ได้ประมาณ 2 เดือน และในวันที่ 27 กรกฎาคมของปี ค.ศ.1890 เขาได้ยิงตัวเอง และเสียชีวิตในอีก2 วันต่อมา

เขา ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นหลังจากเสียชีวิตแล้ว ทุกวันนี้เขานับเป็นหนึ่งในจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งและเป็นผู้มี อิทธิพลต่อพื้นฐานของศิลปะสมัยใหม่ ฟาน ก็อกฮ์ เริ่มวาดรูปเมื่อเขาอายุย่างเข้า 20 ตอนปลาย และผลงานที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของเขาถูกวาดในระยะ 2 ปีสุดท้ายของชีวิต เขาสร้างผลงานมากกว่า 2,000 ชิ้นซึ่งประกอบด้วยภาพเขียน 900 ชิ้นและภาพวาดและสเก็ตช์ 1,100 ชิ้น ผลงานของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปะสมัยใหม่นิยมที่ ตามมา ปัจจุบันผลงานหลายชิ้นของเขา เช่นภาพเขียนตัวเอง ภาพทิวทัศน์ ภาพเหมือน และดอกทานตะวัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและแพงที่สุดในโลก